ก่อนอื่นเพื่อป้องกันดราม่าที่อาจจะเกิดขึ้น ^^ มะม่วงขอแจงสักหน่อยก่อนนะคะ
1. มะม่วงเป็นผู้หญิงธรรมดาคนนึง มีกิเลศ มีความฝัน และพยายามจะไม่ตัดสินความฝันใคร
2. มะม่วงมีปัจจัย 4 อยู่ในระดับที่มะม่วงพอใจแล้ว และพอจะมีเงินเก็บสำหรับยามแก่แล้ว
3. มะม่วงและสามีเสียภาษีรายได้ปีละ 7 หลัก และมีความเห็นตรงกันว่าเราทำดี ทำบุญ เพื่อสังคมมากพอแล้ว
4. กระเป๋าใบนี้เสียภาษีศุลกากรแล้ว : )
5. มะม่วงไม่ได้ตั้งใจจะมาเขียนเล่าออกสื่อ แต่มีหลังไมค์ถามมาหลายท่าน มะม่วงเลยคิดว่าเอามาเผยแพร่ไว้เผื่อจะมีประโยชน์กับสาวๆ ที่มีความฝันคล้ายๆ กันก็น่าจะดี
มาเริ่มกันเลยดีกว่า ^^
เทคนิคการเตรียมตัว … อันนี้ไม่ได้บอกว่าเป็น absolute ที่ต้องทำตามนะ คือเป็นอะไรที่มะม่วงเก็บตกจากการอ่านและดู youtube ประสบการณ์คนอื่นๆมา
1. ต้องมีความรู้ในแบรนด์
2. ต้องไม่ทำตัวเป็น tourist เมื่อเดินเข้าไปใน Hermes
3. ต้องซื้อของอย่างอื่นด้วย
กฎ 3 ข้อนี้ฟังดูง่าย แต่เอาเข้าจริงหลายคนก็บอกว่ามันทำไม่ง่าย บางครั้งทำขาด บางครั้งทำเกิน ซื้อเยอะแต่ก็ยังไม่ได้กระเป๋าเลยด้วยซ้ำ แถมของอื่นๆ ที่ล่อซื้อก็ยังต้องซื้อต่อไป…
เอาจริงๆ ก็มีความแอบกลัวว่าจะได้ประสบการณ์ไม่ดี แต่คุยกับสามีแล้วว่าทริปนี้ขอไปลองสักครั้งละกันนะ ของต่างๆ ที่จะซื้อก็คืออยากได้ ต่อให้ไม่ได้กระเป๋าก็เถอะ และไม่ว่าจะอย่างไรก็ถือว่าเป็นประสบการณ์และความทรงจำอย่างนึงก็แล้วกัน สามีย้ำว่าห้ามจ๋อยนะ ^^
มะม่วงขอเล่าประสบการณ์วันนั้นอย่างละเอียดแล้วกันนะคะ อ่านเพลินๆ สนุกๆ ค่ะ (เดี๋ยวมีสรุปปิดตอนท้ายค่ะ ใครขี้เกียจอ่านยาวๆ ข้ามไปตอนท้ายได้เลย)
มะม่วงเดินทางเที่ยวฝรั่งเศสทั้งหมด 17 วัน
ความจริงมะม่วงมีเวลาที่ปารีสอยู่ 3+5 วัน แต่การไป Hermes Faubourg (Flagship) นั้นต้องทำการนัดวันต่อวัน อ่านขั้นตอนแล้วก็ไม่ยาก แต่อ่านประสบการณ์ท่านอื่นๆ แล้วรู้สึกไม่อยากเสียเวลาแบบนี้ เท่าที่ศึกษามาคือวันนั้นต้อง stand by รอ ซึ่งมะม่วงไม่อยากแกร่วรอแบบนั้น มะม่วงมีน้องดาวมิชลิน มี gastronomy cuisine ที่ต้องไปกิน มีภาพวาด อาคาร สวนสาธารณะที่อยากไปมากมาย (มะม่วงเอาชุดไปเยอะมากกก มีชุดไทยด้วยนะเออ) แผนการนี้ก็เลยเป็นอันล่มไป (แต่สุดท้ายก็มีได้ไปจนได้ //เอาไว้มาเล่าต่อวันอื่นละกันน้าาา)
ช่วงนึงของทริปมะม่วงได้มีจังหวะแวะที่เมืองเล็กๆ เมืองนึงที่มี Hermes พอดี ซึ่งมะม่วงยังไม่ได้เข้าร้านวันนั้นค่ะเพราะร้านปิดแล้ว ^^”
เช้าวันต่อมา มะม่วงงัดเอาชุดที่คิดว่า represent ความเป็นเราได้มากที่สุดออกมา (จริงๆ งัดออกมาเกียมกัวตั้งแต่มะคืนแล้วหล่ะ ผ้ามันจะได้คลายความยับลงหน่อย 5555)
ในความคิดมะม่วงคือ เราจะไม่ไปในชุดแบบนักท่องเที่ยวเด็ดขาด ห้ามมาเกงยีนส์ เสื้อยืด สะพายเป้ กล้อง กระติกน้ำ ฯลฯ รุงรังเด็ดขาดดดดดด
จับสามีใส่สูทลำลองทับชุดเก่งของฮี (สามีใส่เสื้อยืดเกงยีนส์ปกติค่ะ แต่ห้ามฮีแบกเป้ กล้อง คอม หรือใดๆ ไปเลย ให้ไปยืนหล่อๆ เป็นบอดี้การ์ดสายเปย์พอ)
ร้านเปิด 10 โมง กะจะไปถึงตั้งแต่ 10 โมงนี่หล่ะ แต่มัวแต่แต่งตัวนาน มาถึงเกือบ 11 โมงแหน่ะ 55555+
เดินอย่างมั่นใจเข้าร้านไป….โอ้วคุณพระ นักท่องเที่ยวเยอะมาก! (ร้านเล็กมาก มีคนในร้านประมาณ 5 คนก็รู้สึกแน่นแล้ว)
คืออารมณ์คนแบกเป้ เข็นรถลูกกระจองอแง พะรุงพะรังไปด้วยเสื้อแจ๊คเก็ต 3 in 1 (นึกออกม่ะ แบบที่มันไม่สวยแต่ function ครบทั้งกันลมกันแดดกันฝนแถมมีฮู้ดด้วยอ่ะ) ผ้าพันคอย้วยๆ ผูกไว้กับกระเป๋าสะพายข้างเยินๆ (ถึงมันจะเป็นลุคปกติของนักท่องเที่ยวก็เถอะ ขอห้าม!)
เพิ่มเติม*มะม่วงเองก็ใส่ชุดแบบนักท่องเที่ยวเวลาเที่ยวค่ะ ปกติไปเที่ยว 15–20 วันกับสามีกระเป๋าครึ่งใบเหลือๆ เอาเสื้อสีโทนเดียวกันไป (ดำ/เทา/กรมท่า) สกปรกยากหน่อยและสามารถโยนเข้าเครื่องซักได้พร้อมกันทีเดียวจบ ดังนั้น นี่ไม่ได้เป็นการว่าใครอะไรยังไงเลยนะคะ ^^ มะม่วงทำซ๊กม๊กมาแล้วเหมือนกัน แต่นี่เรากำลังพูดถึงกรณีจะไปรับลูกสาวกลับบ้าน ต้องให้เกียรติลูกสาวนิสนุง ฮ่าๆ
มะม่วงแอบได้ยินคนถามว่า “Do you have a bag? Birkin? Kelly?” 2–3 ครั้ง และพนักงานก็ตอบว่า “Sorry, we don’t have it today” ใจแป้วเลยจาาาา….. แต่แป้วนิดเดียวนะ เพราะเรารู้อยู่ว่าถามแบบนี้ไม่มีทางได้หรอก ยกเว้นว่าคุณเป็นลูกค้าประจำระดับวีไอพีที่ซื้อบ่อยๆ อยู่แล้ว ^^
มะม่วงพยามมองหาพนักงานที่ว่างจากความวอแวตรงนั้น จนมาสบตา SA ท่านนึง แล้วเราก็ล็อคสายตากัน
“Bonjour!” มะม่วงกล่าว พร้อมยิ้มสยามสวยงามให้
“Bonjour Madame. How can I help you?” ฮีถามด้วยความสุภาพ (ไม่มีการมองหัวจรดเท้าอย่างที่หลายคนเคยบ่น ไม่มีความหยิ่งใดๆ ไม่ต้องกังวลนะคะ ^^)
มะม่วงบอกเค้าว่ามะม่วงอยากได้เข็มขัด (ของทั้งหมดที่กำลังจะซื้อนี้ คืออยากได้จริงๆ นะ แต่อาจจะซื้อเยอะกว่าที่คิดไปหน่อย แบบควรเอาอย่างละอันม่ะ แต่บางอย่างก็จบถึง 2 และ 3 ชิ้นด้วยความที่เลือกไม่ได้ 55555+)
ฮีถามไซส์/ สีที่อยากได้ รุ่นไหน มีเจาะจงไหม (กรุณาทำการบ้านมาให้ดีว่าที่นี่เค้าเรียกไซส์และสีกันอย่างไร กรุณาอย่ามา “ชั้นเอว 26 เอาสีชมพู” นะคะ ^^) ฮีหายไปข้างหลังสักพัก (คงไปเลือกมาให้) และเอาเข็มขัดใน range ที่เราบอกมาให้ดู แถมยังช่วยมะม่วงเลือกและลองใส่ให้อีกต่างหาก
มะม่วงเลือกไม่ถูกระหว่าง 2 เส้น มะม่วงเลยเอาหมด ฮ่าๆ
ฮีถามว่า “Would you like to drink anything?”
คหสต. และ ปสก.สต. นะ
มะม่วงเคยไปทัวร์แบบ ฉี่ ชิม ช้อป แชะ เร่งด่วน 4 วัน 11 ประเทศ ทัวร์ที่ให้เวลาเรา 30 นาทีในการช้อป ได้มองเห็นพี่ป้าน้าอาร่วมทริปแย่งกันซื้อกระเป๋าที่สารพัดแบรนด์มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ตอนนั้นมะม่วงบอกตัวเองว่า ถ้าจะต้องเสียเงินเป็นหมื่นๆ แสนๆ แล้วยังต้องแย่งกัน กรีดร้อง เบียดเสียดแบบนั้น มะม่วงจะไม่ซื้อเด็ดขาด!!
ในความรู้สึกมะม่วงนะ คือมะม่วงไม่ใช่แค่ให้ได้กระเป๋า แต่กระบวนการทั้งหมดของการได้มันมา สตอรี่ของกระเป๋าแต่ละใบจะต้องมี และมะม่วงคงโชคดีที่ได้รับความทรงจำดีๆ กลับมาจากการไปซื้อแบรนด์ทุกครั้ง
พนักงานจะน่ารัก พูดคุย เอาน้ำมาให้ เอาแชมเปญมาให้ ฯลฯ สามีจะมีเก้าอี้นุ่มมารองรับให้นั่งรอระหว่างเราเลือกกระเป๋า ความแชมเปญจะทำให้เราอารมณ์ดีและขาดความยับยั้งชั่งใจ ฮาาาาาา….
และเท่าที่แอบสังเกต ไม่ใช่ทุกคนที่ได้รับการปฏิบัตินี้ (มะม่วงไม่รู้ว่าพนักงานไม่เสนอน้ำให้ หรือเสนอแล้วแต่เค้าไม่รับ…อันนี้ไม่รู้จริงๆ) และไม่ใช่ทุกคนที่ชอบมีสตอรี่แบบนี้ อันนี้ก็สุดแล้วแต่ความชอบเนาะ ^^
แต่สำหรับมะม่วง, โดยเฉพาะที่ Hermes นี้, การได้รับ offer เครื่องดื่ม สำหรับมะม่วงถือเป็นลางที่ดี ^____^
เราได้อยู่กันยาวๆ แน่นอลลลล
จากนั้นมะม่วงก็ขอเค้าดู Clic Clac บอกเค้าว่าปกติ collect pink gold เท่านั้น ขอดูหน่อยมีสีอะไรบ้าง
ฮีเอาสีเทือกเขาเหล่ากอตระกูลเดิมมาให้ดูเพิ่ม (เอาค่ะ!) และเอาสีที่แตกต่างมาให้ พร้อมแนะนำว่ามันเอาไว้ใช้ในโอกาสอะไรได้บ้าง (มะม่วงคิดตาม เออจริงหว่ะ เป็นมันลุคที่เราทำได้นะ เอาค่ะ!)
จากนั้นมะม่วงก็ขอเค้าดูรองเท้า บอกรุ่น สี ไซส์ไป
ฮีพาไปนั่งโซนด้านหลัง เอารองเท้ามาให้ลอง มีรุ่นและเบอร์ที่อยากได้พอดี (กรี๊ดดดด…เคยพยามซื้อที่ไทยหลายครั้งแต่ไซส์มะม่วงมันมหาชนมากกกก ไม่เคย F ทันเลย!)
ฮีเอารองเท้ารุ่นอื่นๆ มาให้ลองด้วย ตอนนั้นมะม่วงแอบลังเลว่าเราต้องซื้อ เพื่อล่อซื้อเป๋าไหมหว่า แต่สุดท้ายมะม่วงตัดสินใจปฏิเสธ เราไม่ได้ใช้ เราไม่เอา! ก็บอกเค้าไปว่า มันไม่เหมาะกับเรา หรือเราไม่คิดว่าเราจะได้ใช้แน่ๆ ยิ้มสวยๆ ให้ทีนึงแบบเข้าใจเราน้าาาา
อยากได้รองเท้าอีกรุ่นไม่มีของ เค้าหาให้แล้วหาให้อีกก็ไม่มี อุวะ เคือง!
ออกมาช้อปผ้าพันคอต่อละกัน ^^
ฮีถามว่าอยากได้แบบไหน มะม่วงก็ตอบไปตามที่มะม่วงคิด ฮีก็ช่วยเลือก ช่วยแมชต์ และบอกว่าสีไหนใช้ในโอกาสอะไร แต่งตัวประมาณไหน ได้บ้าง ฮีลองพันให้ดูหลายๆ สไตล์ บางแบบไม่สวย แต่พอม้วนพันออกมาอยู่บนตัวเรา สวยหว่ะเฮ้ยย! ควรเชื่อฮี
เอาค่ะ!!
ระหว่างที่ช้อปทั้งหมดนี้ เราก็มีสนทนานอกเรื่องกันบ้างประปราย
หลังจากมะม่วงมาคิดย้อนไปแล้ว คิดว่า key สำคัญ น่าจะเกิดขึ้น ณ จุดนึง ที่ฮีถามมะม่วงว่า เป็นคนไทยหรอ มะม่วงถามฮีว่า รู้ได้ไงอ่ะ ฮีบอก ฟังจากวิธีการคุยกันของยูว์ ฮีบอกว่าฮีชอบเสียงคนไทย ฟังแล้วเหมือนเสียงเพลง (เอาละเว้ยยย โชคมาทางเราแล้ววววว)
มะม่วงถามฮีว่า ฮีเคยไปเมืองไทยไหม ฮีบอกเคย (โอ้ยยย นี่มันวันอันแสนโชคดี)
(จากนั้นเราก็คุยกันยาววววววว……..แล้วก็ลองของไปเรื่อยๆ)
ฮีก็ถามมะม่วงว่า มาฝรั่งเศสกี่วัน/ไปไหนมาแล้วบ้าง
ณ จุดนี้มะม่วงจัดเต็มนะ แบบว่าตั้งใจตอบแบบเนียนๆ ว่าทริปนี้เป็นทริปฉลองแต่งงานครบ X ปี สามีบอกจะตามใจวันนึง (ฮียิงมุขว่า งั้นต้องสักสิบล้านยูโรนะยูว์แล้วหันไปหลิ่วตาให้สามี มะม่วงมีพวกแล้นนนนน ฮ่าาาา)
แถมตั้งใจอวดไปอีกว่าเนี่ยตอนนั้นเคยมาเที่ยวยุโรป 3 เดือนแล้วชอบฝรั่งเศสมากกกกกก บอกตัวเองว่าจะต้องกลับมาอีกกกกก
ฮีก็ถามใหญ่เลยว่า เห้ย ลามาได้ไง 3 เดือน มาทำอะไร ไปไหนบ้างตอนนั้น แล้วตอนนี้หล่ะจะไปประเทศไหนบ้าง
บลา บลา บลา
จุดสำคัญที่มะม่วงคิดนะ คือเราต้องแสดงให้เค้าเห็นว่าเรามีวัฒนธรรมนะไม่ใช่แค่มีเงิน (ฮ่าาา) คุยกันเสมือนฮีคือเพื่อนสนิท แชร์ความคิดกันได้เลย
ความรู้เรื่องศิลปะ สถาปัตยกรรม เมือง อาหาร ทุกสิ่งที่เราชอบที่นี่ คุยกับเค้าไปค่ะ
เค้าถามว่าทำไมมะม่วงกลับมาฝรั่งเศสอีก มานานขนาดนี้มาทำอะไร มายังไง ไปไหนมาแล้วบ้าง จองโรงแรมยังไง ขับรถเที่ยวหรอ พูดภาษาฝรั่งเศสได้หรอ (ฮั่นแน่ มะม่วงพูดฝรั่งเศสไม่ได้หรอก แต่มะม่วงหัดมานิดหน่อยก่อนมาทริปนี้ ก็พูดให้เค้าฟังนิดหน่อยๆ เค้าก็ขำแล้วพูด “ขอบคุณค่า” ให้มะม่วงฟัง ดูเค้าสนุกสนานและสนใจซักถามมากๆ เลย ^^)
พอจบผ้าพันคอ เค้าก็ถามมะม่วงว่า มีอะไรที่อยากได้อีกไหม
ณ เวลานั้น ถ้ามันยังไม่ใช่เวลาปิด มันก็ใกล้แล้วหล่ะ (ร้านเปิด 10.00–12.00 และเปิดอีกที 14.00-ประมาณ 6 โมงมั้งคะ จำไม่ได้หล่ะ) มะม่วงหันไปมองหน้าสามีขอกำลังใจ สามีพยักกหน้าให้เบาๆ ทีนึงอย่างมีมาด
มะม่วงบอกฮีไปเบาๆ ว่า “Ummm…I also want a bag”
ฮียิ้มน้อยๆ ถามว่า “What kind of bag?”
โอ้ยยยยย ด้วยความเจียมตัว มะม่วงเลยบอกว่า “ummm maybe Bodie?” พร้อมชี้ไปที่ตู้ (ก็เห็นมันวางอยู่ในตู้ อย่างน้อยก็ไม่หน้าแหกหล่ะโว้ยถ้าเค้าจะบอกว่าไม่มี ก็มันมีในตู้อ้ะ! ถึงจะไม่ไว้สำหรับขายก็เหอะ!!)
ฮียิ้มถามว่า “You don’t want Birkin? Kelly?”
ขุ่นพระ!!!! (ในใจแอบกรีดร้อง ว้อนเซซซซซซซซซ่ ว้อนๆๆๆๆ)
ฮีเปิดทางให้แล้ววววว กรี๊ดดดดดดดดดดด เสียงพลุปุ้งๆๆ ดังในหัวเลย อย่างนี้เรียกว่า ฮี offer ให้ได้ไหม? (ขอมโนเก็บความทรงจำไว้แบบนี้ละกันนะ ฮาาาา)
มะม่วงเลยบอกเค้าว่า “I don’t know if today is my lucky day. But yes, I’d want Birkin or maybe Kelly” พร้อมยิ้มหวานให้ทีนึง เค้าถามมะม่วงว่า อยากได้แบบไหน สีไหน ไซส์ไหน ก็ตอบเค้าไป (กรุณาใช้สี ไซส์ รุ่น เป็นภาษาเค้านะคะ มะม่วงไม่รู้ว่ามันมีผลไหม แต่มีคนบอกว่ามีผล)
มะม่วงตอบเค้าเป็นเชิงปรึกษาว่ามะม่วงมีรุ่นไหนสีอะไรแล้วบ้าง (อันนี้คือแอบจงใจทำตัวให้เหมือนว่าคุ้นเคยกับแบรนด์นะจ๊ะ….ไม่รู้ว่าจุดนี้ “ล้น” ไปมั้ย แต่ก็ทำไปแล้ว ฮาาาา)
มะม่วงสรุปว่า มะม่วงอยากได้สี Noir หรือถ้าไม่มี เอา Etoupe ก็ได้ แต่อยากได้ดำ ถือได้ทุกวัน พวกสีๆ มีเยอะแล้ว แล้วอ่อยเค้าว่า คิดเหมือนกันมั้ย (ถ้าคิดเหมือนกัน ต้องหามาให้นะยูว์)
เค้าถามว่า อยากได้ pink มั้ย มะม่วงตอบว่า depends on which pink (หึหึ ทำการบ้านมาคือรู้ว่า ถ้า Rose ช่วงนี้เป็น Rose Pourpre อ่ะ แอบไม่ชอบ มันออกม่วงไปหน่อย)
เค้าบอกว่า “I’ll check” แล้วหายไปข้างหลัง (จริงๆ เค้าสามารถดูสต้อคจากมือถือได้นะ แต่เค้าคงอยากได้เวลาไปตั้งสติก่อนว่าจะแนะนำอะไรให้ดี คงไม่อยากเปิดหน้าสต้อค ผ่างงงง ออกมาให้เราเห็นว่ามีอะไรบ้าง เดี๋ยวจะวอแว 5555+)
ฮีกลับมาพร้อมเป๋ารุ่นใหม่ที่เป็นสะพายข้างและมีล็อคเหมือนกลอนประตูสมัยก่อน ฮีบอกรุ่นใหม่ แรร์ หายาก ซึ่งมะม่วงม่ายชอบบบบบ โน๊วววววววว…….! ฮีเอา Lindy 26 มาให้ดูต่อ เก๋ตรงสายแปลก มีลวดลาย น่าจะแรร์ แต่มะม่วงไม่ชอบสีเลยบอกว่า อืมม…..ยังไม่โดน
ฮีหายไป กลับมาพร้อมแรร์ไอเทม (แรร์มั้งนะ ตามที่มะม่วงเข้าใจ) มันคือ Birkin ที่เอาหนังหลายๆ อย่างมารวมกัน มีทั้ง Epsom, Togo, Swift, CrocoMatt, CrocoShiny คือมันแปลกมากกกกกกกกก คือเห็นใบแปลกๆ แบบนี้จะราคาดีนะ (แต่มะม่วงยังไม่ค่อยเห็นความงามของมันเท่าไหร่) และที่สำคัญคือมันสีโทนเขียว หลากหลายเขียวมารวมตัวกัน ทำเอาสับสนไปต่อไม่ถูกเลยหล่ะ ว่าเห้ยย! เอาเลยดีมั้ย ถ้าเอาไปขายต่อนี่กำไรแน่นอน เอากำไรไปซื้อต่อ )*$@)%U$&@_$(# ….
สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วปฏิเสธเพราะมันเป็นใบที่เราไม่อยากได้
ตอนปฏิเสธนี่ก็แอบหวั่นใจ เกิดไม่มีอะไรให้เลือกแล้ว นี่จะเอาใบเหล่านั้นกลับมาได้ม้ายยยย….ฮาาาาาา
แต่ไม่เป็นไรค่ะ เราถือคติ ไม่ชอบ อย่าซื้อ! ก็ปฏิเสธไปอย่างสุภาพว่ายังไม่ค่อยโดนเท่าไหร่…
ฮีถามว่าชอบหนังอะไร (ฮีถาม leather แต่ออกเสียงเหมือน “เลเซอร์” ทำเอาเหวอไปหลายวินาที ก่อนฮีจะยกตัวอย่างชื่อหนัง เลยถึงบางอ้อ 55555 ) ฮีหายไปอีกครั้งนึงแล้วกลับมาพร้อม…..
แท่น
แทน
แท๊นนนนนน….
อ๊ะ ล้อเล่น!
จริงๆ ได้รุ่นที่อยากได้เลยค่ะ
และก็มีอีกรุ่นที่ฮีเอามาให้เลือก ทำให้แบบ เห้ยยยยย อยากได้ !!
แต่ฮีบอกว่า เลือกได้ใบเดียว even if you kill me haha (ฮึ แล้วเอาออกมายั่วทำไม!)
ส่วนใบนี้ คือคุยกันไปมายังไงจำไม่ได้ มะม่วงบอกว่าเคยเห็น croco สีดำ สวยมากกกกกกกกกกก
ฮีบอก เคยจับมั้ย เราบอก ไม่เคยจับ แค่เห็นไกลๆ
ฮียิ้มแล้วบอก เดี๋ยวเอามาให้ดู แต่ขายให้ไม่ได้นะจ้ะ จุบุๆ แล้วเดินว๊าบหายไปด้านหลัง (จุบุ นี่เติมเอง คือฮีหลั่นล๊าอยากอวดของมากจุดนั้น 55555+)
ฮีกลับมาพร้อมย้ำว่าขอโทษขอโพยว่าใบนี้อ่ะขายแล้วจึงขายให้ไม่ได้นะ (คงกลัวมีคนลงไปดิ้นแด่วๆ) ฮีบอกคนที่ได้ไปมีปัญหาบัตรเครดิต เลยจะโอนเงินมา บลาๆ มะม่วงเลยบอกว่า บัตรชั้นพร้อมมมมม ฮาาาาา…. ฮีบอก เค้าโอนมาแล้ว แต่ยังไม่มาเอา…
มะม่วงว่ามันเป็นข้ออ้างแหล่ะ เคมีเรายังไม่ตรงกับกระเป๋าใบนี้ เค้าก็เลยยังไม่ให้เรามาครอบครอง จะมีใครซื้อกระเป๋าแล้วเงินไม่พร้อม หรือซื้อแล้วยังไม่เอาไปบ้าง เนาะ ^^
ฮีใส่ถุงมือตอนจับ และให้เราใส่ถุงมือด้วย ตอนรับกระเป๋ามา เราก็แบบ โอ เอ็ม จี อู้ อ้าาา กันไป
ฮีถามว่า ถ่ายรูปมั้ย …. ช่างรู้ความในใจที่ไม่กล้าเอ่ยจริงๆ อูยยยยยยยย …. เอาสิค้าาาา โอกาสนี้ ถ่ายเอาไว้อำเพื่อน สนุกดี อิอิ
ตอนจะถ่าย ฮีบอกว่า อ่ะ อนุญาตให้เอาถุงมือออกได้ พร้อมช่วยถอด และจัดกล่องรกๆ ให้เรียบร้อย ช่างเป็น SA ที่ดีงามที่สุดในสามโลกกกกกกก มะม่วงขอถ่ายรูปกับฮีแต่ฮีบอกฮีไม่ชอบถ่ายรูป ฮีขอละกัน
….เลยได้แต่เก็บไว้ในความทรงจำ
ปล. จริงๆ มีอีกสิ่งหนึ่งที่ฮีช่วยเหลือแบบน่ารักที่สุดเลย แต่ขอไม่เล่าละกันนะเพราะว่ามันก็ไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่ แต่ซึ้งในความเข้าอกเข้าใจโลกของฮีที่สุด ^^
พอเลือกได้แล้วว่าจะเอาใบไหน
ฮีก็แนะนำ accessories ให้น้องเป๋าอีกนิดหน่อย มีการช่วยเลือกด้วยนะว่าอะไรเหมาะ ไม่เหมาะ อันนี้เอาไปทำอะไรๆ ได้อีกบ้าง
โอ้ยยยย สนุก! สนุกมากจริงๆ อยากได้มาเป็นเพื่อนสนิท ฮ่าๆ
ตอนจ่ายเงิน แซวฮีไปว่า ยังไม่ถึง 10 ล้านยูโรเลยยูว์ เอาเป๋ามาอีก ฮ่าาาา
ตอนจะเอาใส่ถุง ฮีควักออกมาอีกกล่องบอกว่าเป็นของขวัญให้ยูว์นะ โอ้ยยยยยย แล้วฮีก็นับๆ ว่าครบไหม สรุปมีกล่องทั้งหมด 16 ใบ!! (7 กล่อง คือมาซื้อหลังจากได้กระเป๋าแล้ว 55555+) เลยแซวฮีว่า 16 เลยหรอ มันเกินจำนวนปีนะ (นิกุควรเอาอะไรออกบ้างมั้ย เฮือกกกก)
ฮีบอกมันเพิ่มขึ้นตามจำนวนปี ไม่ใช่ปีละกล่อง
ถูกค่ะ!!! เอามาอีก!!! เอิ๊กกกก….
สนุกเนอะ

จับมือบ๊ายบายออกมาจากร้าน
ขอโทษที่ทำให้ฮีและเพื่อนไม่ได้พักกลางวัน บอกฮีว่าถ้ามาเมืองไทยอีกเมื่อไหร่ก็บอกนะ ยูว์มีเบอร์เราแล้ว
และขอบคุณบอดี้การ์ดส่วนตัวมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
จากความคิดมะม่วง (หลังจากที่ได้กระเป๋ามา และมองย้อนไป) นั้น…
มะม่วงคิดว่าคำถามเหล่านั้นที่ดูเหมือนจะเป็นบทสนทนาทั่วไป แต่จริงๆ มันคือบททดสอบที่เค้าจะถามเรา ว่าเรา “เหมาะ” ที่จะถือกระเป๋าเค้าไหม…ย้ำนะว่า มะม่วงคิดเอง เออเอง อาจจะมีผู้ที่รู้จริงกว่ามะม่วงว่ามันใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ค่ะ ^^
และเดี๋ยวก่อนๆ อย่าพึ่งหมั่นไส้นะ เพราะมะม่วงไม่ได้คิดว่าการ “ผ่าน” บททดสอบนั้นมันทำให้เราดีกว่าคนอื่นๆ เลย …
มะม่วงตกผลึกว่า คำถามเหล่านั้นคือข้อสอบ attitude test อย่างนึง ซึ่งใครเคยสมัครบริษัท international น่าจะคุ้นเคย แบบทดสอบทัศนคติที่ไม่ได้มีว่าอะไรถูก หรือผิด หรืออะไรดีกว่าอะไร แค่ถามเพื่อดูว่า เรา fit in กับองค์กรนั้นไหม ก็เท่านั้น มันได้รับเกียรติแค่คำว่า “เคมีตรงกัน” เท่านั้นเองค่ะ ^^
ทุกองค์กรมีวัฒนธรรมที่ต่างกัน ถ้าพนักงานคนไหน fit in กับองค์กรก็จะทำงานอย่างมีความสุข พนักงานคนไหนไม่ fit in ก็จะทำงานแบบ painful หน่อยๆ อาจจะต้องหาเสื้อ I HATE MONDAYS มาใส่ ฮ่าาาา (ทำเป็นล้อเล่นไป มะม่วงมีนะเสื้อตัวนี้ ^^) ซึ่งก็เหมือนกับกระเป๋าที่เค้าเลือกว่าเราสมกันแล้วนั่นหล่ะค่ะ
เพราะถ้าได้น้อง croco มามะม่วงคงเอาไปขายต่อแน่ๆ เพราะรู้สึกเกินตัวไป ของทุกชิ้นที่เลือกมาคือเหมาะสมกับตัวมะม่วงแล้ว
อีกอย่าง มะม่วงคิดว่า มะม่วงแค่โชคดี ได้เจอ SA น่ารัก
และเคมีตรงกันพอดี ^^
สรุป Key take away 3 ข้อ (edit เพิ่ม ขอ+ อีกสักข้อละกันนะ)
1. ต้องมีความรู้ในแบรนด์ — ไม่ใช่แค่รู้จัก Birkin, Kelly เท่านั้น แต่เราต้องรู้จักสิ่งอื่นๆ ของแบรนด์ด้วย เช่นกระเป๋ารุ่นอื่น เข็มขัด กำไล รองเท้า ฯลฯ และเราควรมีของเค้าติดตัวใส่เข้าไปบ้างซึ่งมะม่วงใส่เข็มขัด Clic Clac และพันผมด้วย Twilly เสื้อกระโปรงกระเป๋าจากร้านใน IG / jacket Zara ที่เผอิญเดินผ่านแล้วชอบเลยสอยมาเมื่อวันก่อน / รองเท้าก็ผ้าใบ sketcher / นาฬิกา Fitbit เองค่ะ สามัญชนมากๆ ^^ แต่แนะนำว่าหากใครมีแบรนด์ที่ดีกว่านี้ก็จัดไปอย่าให้เสียนะคะ เราต้อง appear ดูดีมีรสนิยมค่ะ
มีน้องบางคนบอกว่าเอากระเป๋ารุ่นไหนของเค้าไปเค้าจะขายใบนั้นให้…อันนี้มะม่วงเจอประสบการณ์ที่ต่างกันเลยไม่สามารถคอมเม้นต์ได้ แต่ใครจะลองดูก็ได้ค่ะ
และกรุณาโชว์ความรู้ของเราอย่างแนบเนียนในบทสนทนาเสมอ ว่าเราแยกไซส์ได้ เรารู้ชื่อรุ่น เราแยก Confetti, Azalee, Sakura, Jaipur ได้ เราแยก Bamboo, Paon, Turquoise ได้ อะไรแบบนั้น (ถ้าให้สามีไปสอบคงตกแน่นอน ฮีไม่สามารถแยกเฉดสีได้เลย ยังไม่ต้องไปถึงขั้นรู้ชื่อหรอก ฮ่าาาา) อ่านมาถึงตรงนี้ไม่ต้องเครียดเพราะมะม่วงเองก็ไม่ได้รู้ทุกอย่าง แต่อย่างที่เราชอบเราจะรู้ ถ้าคุณชอบคุณจะรู้เองเช่นกัน ^^
มีช่วงนึงตอนอยู่สาขาแรกสามีแอบมากระซิบถามว่ามะม่วงไม่ถามราคาของเลยหรอ ใช่ค่ะ มะม่วงไม่ถามราคาเพราะทำการบ้านมาแล้ว คหสต. คือเราต้อง appear ว่าเราคุ้นเคยและรู้ดี และเราไม่สนราคา เราซื้อที่เราชอบไม่ใช่ซื้อเพราะราคาถูก ฮาาาา… ตอนไปอีกสาขานึงมะม่วงเห็นคนถามราคา clic clac แถมควักเอาเครื่องคิดเลขมาเคาะเรตอีกต่างหาก หลังจากนั้นพนักงานบอกเลยว่าไม่มีกระเป๋าข่ะะะะ (แต่เค้าเอากระเป๋ามาให้มะม่วง) อันนี้เจอกับตัวเองเลย โอเคนะ
2. ต้องไม่ทำตัวเป็น tourist เมื่อเดินเข้าไปใน Hermes — มะม่วงเข้าใจค่ะว่าเราไปเที่ยวกระเป๋าเดียวที่จำกัด จะให้มีของพร้อมเหมือนอยู่บ้านก็คงไม่ใช่ และนั่นก็เป็นอีกเหตุผลนึงที่ตลอดเวลาที่เที่ยวต่างประเทศกับสามีมาตลอด 10 ปี มะม่วงไม่เคยมีความกล้าจะเดินเข้า Hermes เลยเพราะส่วนมากเรา 2 คนกระเป๋าเดียวเที่ยวทั้งทริป เสื้อผ้านี่เน้น function ครอบคลุมและสีที่เอาใส่เครื่องปั่นด้วยกันได้ในครั้งเดียว (สีดำ/กรม/เทาไงหล่ะเทอว์) แต่ครั้งนี้มะม่วงเตรียมตัวมาดีมีชุดพร้อม เสื้อกระโปรงกระเป๋าที่มะม่วงใช้ไม่แพงเลย รวมกันไม่ถึง 2000 บาทด้วยมั้งคะ แต่มะม่วงมี accessories เก๋ๆ ไป มะม่วงว่าเค้าเข้าใจแหล่ะว่าเราจะมาทำผมทรงฟาร่าม้วนเกลียวตั้งกระบังคงไม่ได้ จริงๆ เอาส้นสูงไปด้วยแต่คิดว่าคงเดินไม่ไหวเลยตัดสินใจใส่ผ้าใบนี่หล่ะ แต่โชคดีกระโปรงยาวเลยพรางตาได้ระดับนึง ^^ บวกกับประสบการณ์ต่างๆ จากการที่ได้เห็นโลกกว้างทำให้มะม่วงพอมีอารยธรรมสื่อสารกับเค้าได้ระดับนึง อาจจะเป็นจุดที่เค้าสนใจนะว่าเราไม่ได้มากับทัวร์ทำตัวซำเหมา…อะไรแบบนั้น
3. ต้องซื้อของอย่างอื่นด้วย — อันนี้อาจจะจริงนะ แต่อาจจะไม่ต้องเยอะ เพราะตอนมะม่วงได้กระเป๋านั้น มะม่วงซื้อแค่เข็มขัด 2 เส้น / กำไล 1 (ฮีเข้าใจว่ามะม่วงเอาอันเดียว ตอนจ่ายเงินทวนของมะม่วงต้องบอกว่าลืมอีกอันป่าวจ้ะ/ แถมฮียังห้ามไม่ให้ซื้ออีกอันด้วย บอกว่ามันคล้ายของที่มีอยู่แล้ว) / รองเท้า 1 / ผ้าพันคอ 3 …. เท่านั้นเอง
ที่เหลือมางอกเอาทีหลังทั้งนั้น 555555
และจากประสบการณ์ที่มะม่วงได้ไปอีกสาขานึงหลังจากนั้น มันก็แทบไม่ต้องซื้ออย่างอื่นเลยนะ มะม่วงซื้อ Clic Clac 1 อัน แล้วก็ได้กระเป๋า Mini Evelyne มาอีก 1 ใบเลย
สบายๆ ค่ะ ^_^
4. ควรคิดมาให้ดีว่าอยากได้อะไรเพื่อป้องกันการเสียขบวน ณ จุดนั้น
ขนาดมะม่วงคิดมาแล้วว่าอยากได้อะไร และบอกสเปคเค้าชัดเจนแล้ว (และเอาเข้าจริงเค้าก็มีของนะเห็นมั้ย แต่เค้าเอาใบอื่นมาหลอกล่อขายก่อน ใครพ่ายแแพ้ต่อกิเลสก็จะไปไม่ถึงฝั่งฝัน ^^”)
มาคิดๆ ดูแล้ว…. มะม่วงว่าเค้ามีของนะ เป๊ะเลยแบบที่มะม่วงอยากได้แต่เค้ายังไม่เอาออกมาให้ดู…ดันเอาหลายๆ ใบมาหลอกล่อเราก่อน
มันอาจจะเป็นบททดสอบอย่างหนึ่งของชีวิตว่าเราจะพ่ายแพ้ต่อสิ่งยั่วยุ หรือจะฝ่าฟันอดทนไปให้ถึงสิ่งที่เราอยากได้
สำหรับคนอื่นๆ อาจจะเลือกซื้อใบแรร์มาขายต่อ แล้วเอากำไรไปซื้อใบใหม่จาก hunter ก็ได้ หรือจะเอากำไรเหนาะๆ แล้วเก็บเงินสดก็ได้ อันนี้ก็แล้วแต่คน แต่มะม่วงแน่วแน่ว่าใบแรกจากร้านจะต้องเป็นใบที่มะม่วงจะได้ใช้ มะม่วงจะไม่เอามาขาย จะไม่พ่ายต่อกิเลสใดๆ ถ้าไม่มีก็คือไม่มี….
แล้วมะม่วงก็ได้มันมา ^____^
หวังว่าจะเป็นแรงบันดาลใจและเป็นทริคเล็กน้อย ให้สาวๆ หนุ่มๆ ผู้มีความฝันที่จะสอยน้องม้ากล่องส้มจาก Hermes ด้วยตัวเองสักครั้งค่ะ
มาดามมะม่วง
9 มิถุนายน 2561