สิ่งที่ทำให้ Start up ประสบความสำเร็จ

ไม่อาจเรียกตัวเองว่าเป็นผู้ที่รู้ดี แต่ในฐานะที่สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกทำนั่นนี่มาพอสมควร อีกทั้งยังได้ใกล้ชิดอยู่ในวงเพื่อนและคนรู้จักที่ทำ Start up กันมา ไม่ว่าจะเป็นด้าน Tech หรือด้านอื่นๆ ก็ตาม เลยขอมาบันทึกไว้เผื่อใครอยากจะลองทำ Start up ดูบ้างแล้วอาจจะพบว่ามีประโยชน์ค่ะ ^^
.
Start up คืออะไร – มันคือศัพท์ใหม่แห่งยุคนี้ คล้ายคำว่า “เป็นเจ้าของกิจการ” เหมือนรุ่นพ่อเรานี่หล่ะ แบบว่า “เฮลโหลว พวกเรา (หรือชั้นคนเดียวนี่หล่ะ) มาเปิดกิจการกันดีกว่า” กิจการนี้คือเปิดเอง เริ่มใหม่ ไม่ใช่รับมรดกมาจากพ่อแม่รุ่นก่อน แปลตรงตัวกับคำว่า Start up = เริ่มใหม่ เลยทีเดียว^^
.
.
>>สิ่งที “ฉัน” ควรมีก่อนจะเริ่มทำ Start up
1. มีใจรัก – ข้อนี้สำคัญมาก เพื่อนรุ่นเดียวกับเราส่วนมากจะมีพ่อแม่ที่เกิดในยุค Baby Boomer มีมรดกกิจการมาให้ ซึ่งเราอาจจะไม่ชอบ เราอาจจะมีใจรักที่จะทำอะไรไม่เหมือนกับที่พ่อแม่เราทำมา เราจะแหวกม่านประเพณีออกมาเพื่อตามหาสิ่งที่เรารัก อันนี้ต้องอาศัยความกล้าด้วยนะเออ ^^ สมมุติว่าจะเริ่มทำบริษัทขายแหวนเพชร คือเราต้องมีความสุขในการจ้องมองเพชร เรียนรู้เกี่ยวกับเพชร หายใจเข้าออกเป็นพชร เพราะมันจะอยู่ในชีวิตเราไปอีกยาวๆ
.
2. รักอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีความรู้ด้วย – เรียกว่าต้องมีทั้งใจและมีทั้งสมองด้วยนะ ไม่ใช่อยากจะเปิดร้านขายเพชรแต่ดันไม่มีความรู้เลยว่าเพชร ทับทิม บุษราคัม มันต่างกันยังไง ต้องแยกเพชรดี เพชรปลอมไม่เป็น ไม่รู้แหล่ง supplier และไม่รู้ว่าจะขายใคร ฯลฯ อันนี้ก็ไม่ไหวนะ
.
3. มีเป้าหมายหล่อเลี้ยง – ไม่ว่าจะเป็นความต้องการเปลี่ยนแปลงโลก อยากเป็นตำนาน หรืออยากเป็นเศรษฐีบิลเลี่ยนแนร์ไรงิ เพราะว่าช่วงนึงของการทำ Start up มันจะลำบากมากกก มันไม่เหมือนรับธุรกิจจากครอบครัวที่เค้าวางรากฐานมาให้ มีเงินหล่อเลี้ยง มีพนักงาน มีทุกอย่างงงงงง ทำ Start up ช่วงแรกมันจะท้อนะ มันต้องมีอะไรหล่อเลี้ยงจิตใจไว้
.
.
.
เอาหล่ะ พอเรามีสิ่งที่เรารักเราสนใจจะทำแล้ว เราก็ต้องมีคนมาช่วยกันทำให้มันเกิดใช่ป่ะ แล้วสมัยนี้ก็ไม่เหมือนสมัยก่อนที่จะชวนแฟนมาทำด้วยกันผ่านการแต่งงาน อารมณ์หัวหน้าชวนเลขาออกมาเปิดบรษัทใหม่ด้วยกันไรงิ 555555+
.
.
.
>>วิธีหาเพื่อนร่วมทำ Start up ด้วยกัน
1. เราต้องมีเป้าหมายที่เหมือนกัน – จะทำเพื่อตำนาน หรือจะทำเพื่อเงิน หรือจะทำเพื่อขายต่อเข้าตลาดหุ้น …. แต่ละวัตถุประสงค์ของการทำ Start up นั้นจะทำให้ทุกๆ การตัดสินใจไปต่อไม่เหมือนกันค่ะ ถ้าเราจะทำเพื่อเงิน “กำไร” จะเป็นตัวนำให้เราตัดสินใจที่จะทำหรือไม่ทำ แต่ถ้าเราทำเอาเท่ห์ มันก็ต้องออกมาดูดีมีชาติตระกูล แนวขาดทุนไม่ว่าเสียหน้าไม่ได้ เราก็อาจจะไม่สนกำไรขาดทุนเลย เราอยากทำสินค้าออกมาให้ดีที่สุด จบนะ ฯลฯ พอเรามีสไตล์ที่ชัดเจนแล้วว่าเราทำไปเพื่ออะไร เราต้องคัดกรองคนกันให้ชัดเจนว่ามาร่วมกันทำงานนี้เพื่ออะไร อย่าหลอกตัวเองและอย่าหลอกผู้อื่น อยู่กันไปเดี๋ยวก็ทะเลาะกันเปล่าๆ ของแบบนี้มันโกหกกันได้ไม่นาน
.
2. เราต้องมีการวางคนที่หลากหลายครบองค์ประชุม – ต้องมีคนรับผิดชอบฝ่ายผลิต/จัดหาสินค้า (Production) แล้วก็ต้องมีคนทำการตลาดและขาย (Sales and Marketing) ต้องมีคนทำเนื้อหาสาระความรู้ออกหน้าออกตา (Guru and Mascot) สมมุติว่าจะขายเพชร เราต้องมีคนติดต่อหาแหล่งเพชร ซึ่งเค้าอาจจะแต่งตัวบ้านๆ สไตล์เด็กเหมืองแร่ก็ได้นะแต่คอนเนคชั่นเพชรดีมากๆ มีคนเคาะราคาต้นทุนกำไรและทำการตลาดว่าเราจะสื่อสารสินค้านี้ไปขายใคร แล้วก็ต้องมีคนนึงเป็นหน้าเป็นตาของแบรนด์ที่ดูสวยดูแพงดูน่ารักหรือจะดูห้าวก็แล้วแต่คาแรคเตอร์แบรนด์ค่ะ ให้หนึ่งในหุ้นส่วนเป็น mascot ของแบรนด์นี่มีข้อดีตรงไม่ต้องจ้างพรีเซ็นเตอร์ ประหยัดไปเยอะมากนะ
.
เอาหลักๆ 3 หมวดนี้ก่อนที่ควรจะเป็นงานที่เจ้าของทำเอง งานอื่นๆ ยังพอหาคนใน fast work ทำได้ เช่นงานกราฟฟิค แอดมินตอบแชท ฯลฯ แต่ถ้าเจ้าของทำเองด้วยก็จะได้คุณภาพดีกว่าจ้าง freelance อ่ะเนอะ ก็ลองเกลี่ยงานกันดู ที่สำคัญคือต้องมีคนที่มีความชำนาญที่ต่างกัน ไม่ใช่เอามาสคอตเพชรมารวมกันแต่งตัวสวยพร้อมพรีเซ้นต์เพชรแต่ไม่มีใครรู้เลยว่าต้องไปหาแหล่งเพชรจากที่ไหน 555555+
.
3. เราต้องมีเงินทุน – ต่อให้ไม่ทำเพื่อเงิน แต่ก็ต้องมีเงินทุนค่ะ จะแต่งเมียสักคนยังไม่กล้าชวนเค้ามากัดก้อนเกลือกิน นี่นับประสาอะไรกับการทำงานที่ไม่ได้เงิน ยังต้องผ่อนเครื่องซักผ้า ตู้เสื้อผ้าอยู่นะ 55555+

มีเงินทุนแล้วก็แบ่งเงินเดือนและความรับผิดชอบกันให้ลงตัว จะแบ่งเงินเดือนอย่างไร ปันผลอย่างไร งานไหนเจ้าของจะทำเอง งานไหนที่ต้องจ้างฟรีแลนซ์บ้าง การวางโครงสร้างนี้ก็ขึ้นอยู่กับเป้าหมายหล่อเลี้ยงที่ตกลงกันตั้งแต่แรกนี่หล่ะว่าเราทำเพื่อเงินหรือเพื่อหน้าตา มาถึงตรงนี้แล้วอะไรที่เคยสร้างภาพหลอกเพื่อนให้มาร่วมทำด้วยกันก็จะเริ่มปูดค่ะ
.
4. เราต้องมีแหล่งเงินได้ที่ยั่งยืน (ถ้าไม่นับขอทุนได้นะ) – Start up สมัยนี้อาจจะไม่ได้เป็นการผลิตสินค้าและขายแบบตรงไปตรงมาแล้ว แต่อาจจะเป็นอะไรที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ผู้ใช้ไม่ได้จ่ายเงินซื้อ แต่เราต้องหาเงินจาก business model อื่น ยกตัวอย่างให้เห็นภาพก็คือร้านขายเพชร ซื้อเพชรมา ผลิตเป็นแหวนสวยๆ แล้วขายออกไป ก็เกิดเป็นกำไรอย่างตรงไปตรงมาแล้วใช่ไหมคะ แต่ลองนึกภาพ App Wongnai สิ ทุกวันนี้เราใช้ฟรีกันใช่มะ เราในฐานะผู้ใช้ app นั้นไม่ได้จ่ายเงินเลยสักกะบาทเดียว แล้วบริษัทเอาเงินจากไหนมาผลิตเนื้อหา มาเช่าพื้นที่เก็บข้อมูล ช่วงแรกที่ยังไม่มีมหาชนมาช่วยกันรีวิวก็ต้องออกไปกินเองรีวิวเองนี่เอาเงินที่ไหน ฯลฯ การทำ start up แบบนี้สิ่งที่สำคัญเลยคือสายป่านต้องยาว เพราะกว่าจะถึงวันที่เราจะ “ขาย” สินค้าได้นั้นมันค่อนข้างนานค่ะ กว่า wongnai จะเริ่มขายพื้นที่สื่อได้ก็นานอยู่เหมือนกันนะ แถมขายได้แล้วก็ไม่ใช่จะตะบี้ตะบันขายไปซะหมดทุกสิ่งจนคนใช้งานเกิดรำคาญในโฆษณาอีก งานนี้ซับซ้อนและต้อง balance ให้ดีค่ะ

แถมถ้าพอขายได้แล้วเนี่ยมันมากพอที่จะครอบคลุมรายจ่ายหรือเปล่า (เอาเครื่องคิดเลขมาคิดจริงๆ นะคะ ไม่ใช่ว่ามา gut feel อะไรแบบนี้ เคาะตัวเลขค่ะ เคาะ!) อย่าลืมนะว่าเงินได้ไม่สำคัญเท่าเงินเหลือ ถ้าขายสินค้าที่ผลิตได้หมดแล้วแต่กำไรยังไม่พอจ่ายค่าใช้จ่ายทุกอย่างก็ยังขาดทุน ก็เลิกคิดต่อเลยค่ะ ยกเว้นจะทำ Start up เอามันส์
.
5. การขอทุน – ถ้าเป็นช่วงหลายปีก่อนการขอทุนไม่ยากนะ แต่ในช่วงนี้ที่เทรนด์ Start up มันพีคมากๆ คนให้ทุนเค้าก็มีตัวเลือกเยอะค่ะ มะม่วงคิดเอาเองนะว่าก่อนที่เราจะไปขอทุนได้นั้นเราต้องพิสูจน์ตัวเองว่าเรายืนอยู่ด้วยตัวเองได้ ด้วย business model เรามันหล่อเลี้ยงตัวเองได้ มีกำไร อยู่ได้ แต่ถ้าได้เงินทุนมาเราก็มีแผนจะใช้เงินไปทำอะไรเพื่อที่จะสามารถโตแบบก้าวกระโดดได้ คิดเหมือนคนจะมีแฟนอ่ะ เราต้องอยู่คนเดียวแล้วมีความสุขก่อน พอมีอีกคนมาอยู่ด้วยความสุขเราก็เพิ่มขึ้น ไม่ใช่ว่าอยู่คนเดียวยังไม่ได้เลยอะไรแบบนั้น ^^ ยกตัวอย่างต่อเนื่องคือ เปิดร้านเพชร ขายเพชรผ่านเฟสบุ้คและไลน์นี่หล่ะ แต่พอมีเงินทุน (สมมุติ) ล้านนึงปุ้บ เราจะเอาเงินนั้นไปทำเว็บขายออนไลน์เพื่อเข้าถึงคนได้มากขึ้น ลดงานแอดมินลง ขายได้ทั่วโลก ทำเว็บ 4 ภาษา ตัดบัตรเครดิตได้ มีแคตตาล็อคชัดเจน บริษัทจะดูมั่นคงน่าเชื่อถือและเพิ่มยอดขายได้ xx บาท ซึ่งจะคืนทุนใน yy เดือนและก่อให้เกิดกำไรเท่าไหร่ อย่าลืมว่าคนที่ให้ทุนเราส่วนมากเค้าเป็นนักธุรกิจมาก่อนนะคะ เค้าไม่ได้ทำ Charity แบบให้ฟรีไม่ต้องคืน 55555+
.
6. ประเมินเงินที่ต้องใช้ในช่วงที่ยังไม่มีรายได้เข้ามา – งานนี้ต้องอาศัยคนมีหัวการค้าหน่อยๆ ที่จะประเมินว่าเราต้องใช้เงินเท่าไหร่ในการเริ่มต้น แต่ไม่ยากเกินความสามารถของทุกคนแน่นอน ง่ายสุดๆ เลยคือ ประเมินค่าใช้จ่ายรายเดือน เอาค่าของที่ต้องซื้อเพื่อเริ่มทำงาน โต๊ะ เก้าอี้ หม้อ ไห โน๊ตบุ้ค เงินเดือนทุกคน ค่าเช่าที่ทำงานค่าน้ำค่าไฟ ค่าทุกอย่างที่ต้องจ่ายรายเดือนมา สมมุติห้าหมื่น แล้วเราต้องทำงานแบบไม่มีรายได้แบบนี้ไปอีกกี่เดือนถึงจะเริ่มมีเงินเข้ามา สมมุติว่า 6 เดือน (อันนี้แล้วแต่ประเภทธุรกิจนะคะ) แปลว่าอย่างน้อยเริ่มต้นทำงานกันเราต้องมีเงินทุน 3 แสนแล้วใช่ป่าว

ถ้ามีไม่ถึงก็เลิกทำไปเลยค่ะ แพ้ตั้งแต่ยังไม่ออกจากมุ้ง นี่ยังไม่เผื่อว่าเกิดเข้าเดือนที่ 6 แล้วยอดขายยังไม่มา เงินได้ยังไม่มีอีกนะ แล้วถ้ามีเงินได้เข้ามาเนี่ย มาที่เท่าไหร่ เพียงพอค่าใช้จ่ายมั้ย ถ้าเดือนแรกยังไม่พอยอดขายยังไม่ถึง ต้องอีกกี่เดือน ก็บวกประเมินตรงนั้นไปในเงินทุนตั้งต้นด้วย ถ้าคนที่เก๋าจริงๆ เค้าจะประเมินสถานการณ์แบบกลางๆ แบบดี และแบบผิดพลาดเอาไว้ด้วย เช่น จะเริ่มขายได้มีเงินเข้าเดือนที่ 6 นะ แต่ถ้าผลิตไม่เสร็จจริงๆ อาจจะต้องรอไปอีก 2-3 เดือน (ก็ต้องสำรองเงินทุนไว้เพิ่ม) หรือถ้าโชคดีผลิตได้พร้อมขายเร็วก็จะเริ่มมีเงินเข้าตั้งแต่เดือนที่ 5 ฯลฯ ต้องเผื่อไว้ค่ะ เงินเข้าเร็วไม่กลัว จะปวดหัวตอนเงินไม่เข้า ดังนั้นต้องสำรองเงินไว้เผื่อด้วยจะได้ไม่ช็อคกี้
.
7. สื่อสารกันในบริษัทอยู่เสมอ – ทุกแผนกเลยค่ะ ฝ่ายผลิตผลิตสินค้าได้ตรงตามตกลงไหม ต้องการอะไรเพิ่มเติม การตลาดทำอะไรไปแล้วบ้าง เซลล์ทำอะไร มาสคอตทำอะไร ทุกอย่างต้องเดินไปพร้อมๆ กัน เรียกว่าพายเรือไปพร้อมกัน ไม่ใช่ผลิตมาเสร็จแล้ว อ้าว ยัยการตลาดยังไม่ได้เริ่มทำแพคเกจจิ้งเลย ส่วนมาสคอตก็ยังแต่หน้าไม่เสร็จ คือไม่โอเค ส่วนจะคุยกันบ่อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าสปีดงานเราเดินไวแค่ไหนค่ะ เอาเป็นว่าเราคุยกันตลอดๆ นี่หล่ะ ฮึ๊บบบ! ที่สำคัญคืองานต้องเสร็จตาม milestone ที่ตั้งไว้ ถ้าผิดพลาดอะไรต้องรีบบอกรีบสื่อสารจะได้ช่วยกันแก้ไขให้กลับมาปกติได้ทันเวลา อย่าลืมนะว่าเรามีติ๊กต่อกเวลานาฬิกาของเงินทุนสำรองอยู่ อ้อ ที่สำคัญ อย่าโยนขี้ 5555555+
.
8. ทุกคนมีความเป็นเจ้าของ แต่ไม่ก้าวก่ายงานกันและกัน – มันเป็นเส้นบางๆ ระหว่างความเป็นเจ้าของร่วมกัน กับการจุ้นจ้านไปทุกเรื่อง 55555+ อันนี้ก็เป็นความละเอียดอ่อนที่อาจจะทำงานด้วยกันไปแล้วกระทบกระทั่งกัน น้อยใจกันบ้าง แต่ก็ให้มองเจตนาดีที่มีร่วมกันก็จะผ่านพ้นไปค่ะ ยกตัวอย่างเช่น เราเป็นมาสคอตแบรนด์เพชร มีหน้าที่แต่งตัวสวยๆ เพื่อพรีเซ้นต์แบรนด์ แล้วดันไปจุ้นจ้านวุ่นวายเรื่องแหล่งผลิตเพชรที่มีหุ้นส่วนอีกคนดูแลอยู่มันก็ไม่สมควรเบาๆ คือเอาจริงๆ แล้วเราให้ความเห็นได้นะ แนะนำส่งต่อข้อมูลกันได้ แต่การตัดสินใจและความรับผิดชอบนั้นให้อยู่กับคนที่ถือตำแหน่งนั้นค่ะ เรามีหุ้นส่วนนะ เรามาทำงานร่วมกันเพราะเราเก่งกันคนละแบบนะ เค้าเป็นหุ้นส่วนไม่ใช่ลูกน้อง เราดูแลสโคปงานเราและให้เค้ารับผิดชอบสโคปงานเค้า ถ้ามันจะผิดพลาดก็เรียนรู้ร่วมกัน ให้กำลังใจกันไป โตไปด้วยกันอย่างงี้ดีกว่า
.
9. Exit plan ถ้าสมมุติว่าจะเลิกทำ จะเป็นอย่างไร – สมมุติว่าจะมีคนถอนหุ้น จะทำอย่างไร สมมุติว่าจะเลิกทำกันทั้งบริษัท จะทำอย่างไร สต้คคสินค้าเอย เครื่องใช้ต่างๆ เอย เงินทุนเอย จะแบ่งกันอย่างไร คุยกันไว้ก่อนก็ดีค่ะ จะได้ไม่มาอักกลี้กันทีหลัง
.
.
….. นึกออกเท่านี้ค่ะ 9 ข้อ กำลังดีเลขมงคลก้าวหน้าเลยเนอะ ^^
.
หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยในการออกตามหา Unicorn ในฝันค่ะ
.
มาดามมะม่วง
5 มีนาคม 2562 ณ Sillicon Valley

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s